The
Aztecs
The Aztecs Build an
Empire
The first Aztecs were farmers who
migrated from the north to central Mexico.
Finding the good farmland already occupied, they
settled on a swampy island in the middle of Lake Texcoco. There,
in 1325, they began building their capital and
conquering nearby towns.
War was a key factor in the Aztecs’ rise to power. The Aztecs
fought fiercely and demanded tribute payments from the people they conquered. The cotton, gold, and
food that poured in as a result became vital to their
economy. The Aztecs also controlled a
huge trade network. Merchants carried goods to and from
all parts of the empire. Many
merchants doubled as spies, keeping the rulers informed
about what was happening in their lands.
War, tribute, and
trade made the Aztec Empire strong and rich. By the early 1400s the Aztecs ruled the most powerful state in Mesoamerica. Nowhere was the empire’s greatness more visible than in its
capital, Tenochtitlán.
To build this amazing island city, the
Aztecs first had to overcome many geographic challenges. One problem was difficulty getting to and from the city. The Aztecs addressed this challenge by
building three wide causeways —raised roads across water or wet ground—to connect the
island to the lake shore. They also built
canals that crisscrossed the city. The
causeways and canals made travel and trade much easier.
Tenochtitlán’s island location also limited the
amount of land available for farming. To
solve this problem, the Aztecs created floating gardens
called chinampas. They piled soil on top of large rafts, which they anchored to trees that
stood in the water.
The Aztecs made
Tenochtitlán a truly magnificent city. Home
to some 200,000 people at its height, it had huge
temples, a busy market, and a grand palace.
|
ชาวแอซเท็ก
ชาวแอซเท็กสร้างจักรวรรดิ
ชาวแอซเท็กพวกแรกเป็นเกษตรกรที่อพยพมาจากตอนเหนือไปสู่เม็กซิโกตอนกลาง
เมื่อพบว่าที่ดินทำกินอันอุดมสมบูรณ์ถูกยึดครองเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาจึงไปตั้งรกรากบนเกาะที่มีหนองน้ำในตอนกลางของทะเลสาบเตซโกโกบนเกาะนั้น
เมื่อปี ค.ศ. 1325 (พ.ศ. 1868) พวกเขาก็เริ่มสร้างเมืองหลวงของตนเองและพิชิตเมืองใกล้เคียง
สงครามเป็นปัจจัยหลักในการขึ้นสู่อำนาจของชาวแอซเท็ก ชาวแอซเท็กได้ต่อสู้อย่างดุเดือดและต้องการเครื่องบรรณาการจากประชาชนที่พวกเขาพิชิตได้
ฝ้าย ทองคำ และอาหารที่ หลั่งไหลเข้ามาทำให้มีชีวิตชีวาแก่เศรษฐกิจของพวกเขา ชาวแอซเท็กยังได้ควบคุมเครือข่ายการค้าขายอย่างมโหฬารอีกด้วย
เหล่าพ่อค้าได้ขนสินค้าเข้าออกทุกส่วนต่าง ๆ ของจักรวรรดิ เหล่าพ่อค้าที่เป็นจารชนเพิ่มมากขึ้นเป็นสองเท่า
ทำให้เหล่านักปกครองทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแผ่นดินของตนเอง
สงคราม เครื่องบรรณาการ และการค้าขายทำให้จักรวรรดิแอซเท็กเกิดความเข้มแข็งและมั่งคั่ง
ประมาณต้นศตวรรที่ 1400 ชาวแอซเท็กได้ปกครองรัฐที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเมโสโปเตเมีย
ไม่มีที่ใดที่มองเห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิได้มากกว่าในเมืองหลวง เตนอชตีตลัน
ครั้งแรก
ชาวแอซเท็กต้องเอาชนะความท้าทายทางภูมิศาสตร์มากมายเพื่อสร้างเมืองที่เป็นเกาะอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้
ปัญหาอย่างหนึ่งคือความยากลำบากในการเดินทางไปสู่เมืองและออกจากเมือง ชาวแอซเท็กจัดการกับความท้าทายนี้
ด้วยการสร้างถนนข้ามน้ำขนาดกว้าง 3 สาย ซึ่งเป็นถนนที่ยกสูงขึ้นข้ามน้ำหรือพื้นที่เปียก
เพื่อเชื่อมเกาะเข้ากับฝั่งทะเลสาบ ชาวแอซเท็กยังได้สร้างคลองทอดผ่านเมืองตัดกันเป็นรูปกากบาทด้วย
ถนนข้ามน้ำและคลองทำให้การสัญจรและการค้าขายง่ายยิ่งขึ้น
ที่ตั้งของเกาะเมืองเตนอชตีตลันยังมีข้อจำกัดด้านที่ดินทำการเกษตรจำนวนมาก
ชาวแอซเท็กได้สร้างสวนลอยที่เรียกว่า ชินัมพาส์ เพื่อแก้ปัญหานี้ พวกเขาเอาดินมากองซ้อนกันบนแพขนาดใหญ่
ซึ่งผูกติดกับต้นไม้ที่ปลูกในน้ำ
ชาวแอซเท็กได้สร้างเมืองเตนอชตีตลันให้เป็นเมืองที่งดงามอลังการอย่างแท้จริง
มีผู้คนอาศัยอยู่มากสุดถึง 200,000 คน มีวิหารขนาดมหึมา ตลาดพลุกพล่าน และพระราชวังขนาดใหญ่
|
Life in the Empire
The Aztecs’ way of life was as distinctive as their
capital city. They had a complex social
structure, a demanding religion, and a rich culture.
Aztec Society
The Aztec emperor,
like the Maya king, was the most important person in
society. From his great palace, he attended to law, trade, tribute, and warfare. Trusted
nobles helped him as tax collectors, judges, and other government officials. Noble
positions were passed down from fathers to
sons, and young nobles went to school to learn
their responsibilities.
Just below the
emperor and his nobles was a class of warriors and
priests. Warriors were highly
respected and had many privileges, but priests were more
influential. They led religious ceremonies, passed down history, and, as keepers of the calendars,
decided when to plant and harvest.
The next level of Aztec society
included merchants and artisans. Below
them, in the lower class, were farmers and laborers, who made up the majority of the population. Many
didn’t own their land, and they paid so
much in tribute that they often found it tough to
survive. Only slaves, at the very bottom
of society, struggled more.
Religion and Warfare
Like the Maya, the
Aztecs worshipped many gods who were believed to control both nature and human activities. To
please the gods, Aztec priests regularly made human
sacrifices. Most victims were battle
captives or slaves. In ritual ceremonies, priests
would slash open their victims’ chests to “feed” human hearts and blood to the gods. The Aztec sacrificed as many as 10,000
people a year. To supply enough
victims, Aztec warriors waged frequent battles with
neighboring peoples.
|
การดำเนินชีวิตในจักรวรรดิ
วิถีชีวิตของชาวแอซเท็กมีลักษณะเด่นพอ
ๆ กับเมืองหลวงของพวกเขา ชาวแอซเท็กมีโครงสร้างทางสังคมอันสลับซับซ้อน ศาสนาที่สนองความต้องการ
และวัฒนธรรมอันมีคุณค่า
สังคมแอซเท็ก
จักรพรรดิแอซเท็กเหมือนกับกษัตริย์ของชาวมายา
เป็นบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุดในสังคม พระองค์จะทรงคอยดูแลด้านกฎหมาย
การค้าขาย เครื่องบรรณาการ และการสงครามอยู่ที่มหาปราสาท ขุนนางที่ซื่อสัตย์จะช่วยเหลือพระองค์เป็นผู้จัดเก็บภาษี
การตัดสินคดีความ และราชการปกครองอื่น ๆ ตำแหน่งขุนนางจะได้รับการถ่ายทอดจากพ่อไปสู่บุตรชาย
และขุนนางผู้เยาว์จะไปโรงเรียนเพื่อศึกษาหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง
เบื้องล่างของจักรพรรดิและขุนนางพระองค์คือชนชั้นนักรบและนักบวช
นักรบได้รับความเคารพนับถืออย่างสูงและมีสิทธิพิเศษมากมาย แต่นักบวชมีอิทธิพลมากกว่า
นักบวชจะเป็นผู้นำพิธีทางศาสนา ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ และในฐานะเป็นผู้รักษาปฏิทิน
จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าเมื่อใดจะทำการเพาะปลูกและเมื่อใดจะทำการเก็บเกี่ยว
ลำดับต่อจากนั้นของสังคมแอซเท็กคือพ่อค้าและช่างฝีมือ
เบื้องล่างของชนเหล่านั้นที่อยู่ในชนชั้นต่ำ คือ เกษตรกรและกรรมกร ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประชากร
ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และพวกเขาจะจ่ายสิ่งของจำนวนมากเป็นเครื่องบรรณาการซึ่งปกติพวกเขาก็พบว่าเป็นการยากลำบากในการดำรงชีวิต
เหล่าทาสเท่านั้นที่อยู่ล่างสุดของสังคม ต้องพยายามดิ้นรนเพิ่มมากขึ้น
ศาสนากับการทำสงคราม
ชาวแอซเท็กคล้ายกับชาวมายาเคารพนับถือเทพเจ้าจำนวนมากที่เชื่อกันว่าบังคับควบคุมทั้งธรรมและกิจกรรมของมนุษย์
นักบวชชาวแอซเท็กจะทำพิธีบูชายัญของมนุษย์เพื่อทำให้เทพเจ้าโปรดปรานเป็นประจำ เหยื่อของการบูชายัญส่วนมากจะเป็นเชลยศึกจากสงครามหรือทาส
ในการทำพิธีกรรม นักบวชจะชำแหละทรวงอกอันเปลือยเปล่าของเหยื่อเพื่อประทานหัวใจและเลือดมนุษย์ให้กับเทพเจ้า
ชาวแอซเท็กจะทำการบูชายัญมนุษย์มากถึง 10,000 คนต่อปี นักรบชาวแอซเท็กจะทำสงครามกับประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงเป็นประจำเพื่อการจัดหาเหยื่อให้เพียงพอ
|
Tenochtitlán
The
Aztecs turned a swampy, uninhabited island into one of
the largest and grandest cities in the world. The first Europeans to visit Tenochtitlán
were amazed. At the time, the Aztec
capital was about five times bigger than London.
1. The Great Temple stood at
the heart of the city. On top of the temple were two shrines—a blue
shrine for the rain god and a red shrine for
the sun god.
2. Gold, silver, cloaks, and precious
stones were among the many items sold
at the market.
3. A network of canals linked
different parts of the city.
4. Aztec farmers grew
crops on “floating gardens” called chinampas.
|
เตนอชตีตลัน
ชาวแอซเท็กได้เปลี่ยนแปลงเกาะที่เป็นหนองน้ำ
ไม่มีคนอาศัยอยู่ให้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและสง่างามที่สุดในโลก ชาวยุโรปพวกแรกที่ไปเยือนเตนอชตีตลันรู้สึกทึ่ง ในเวลานั้น
เมืองของชาวแอซเท็ก มีขนาดใหญ่กว่ากรุงลอนดอนประมาณห้าเท่า
1. มหาวิหารตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง ณ
ยอดของวิหารมีแท่นบูชาจำนวน 2 แท่น แท่นสีฟ้าสำหรับเทพเจ้าแห่งฝนและสีแดงสำหรับสุริยเทพ
2. ทองคำ เงิน เสื้อคลุมหลวม ๆ และอัญมณีจัดอยู่ในจำพวกสินค้ามากมายที่มีขายในตลาด
3. ระบบเครือข่ายคลองเชื่อมส่วนต่าง ๆ ของเมือง
4. เกษตรกรชาวแอซเท็กปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารบน
“สวนลอย” ที่เรียกว่า ชินัมพาส์
|
Cultural Achievements
As warlike as the
Aztecs were, they also appreciated art and beauty. Architects and sculptors created fine
stone pyramids and statues. Artisans
used gold, gems, and bright feathers to make jewelry and
masks. Women embroidered colorful designs on the cloth they wove.
The Aztecs valued
learning as well. They studied
astronomy and devised a calendar much like the Maya one. They took pride in their history and
kept detailed written records. They
also had a strong oral tradition. Stories about
ancestors and the gods were passed from one generation
to the next. The Aztecs also
enjoyed fine speeches and riddles such as these:
“What is a little blue-green jar filled with popcorn? Someone
is sure to guess our riddle: it is the sky.
What is a mountainside that has a spring of water
in it? Our nose.”
–Bernardino de Sahagún, from Florentine
Codex
Knowing the answers
to riddles showed that one had paid attention in school.
Cortés Conquers the
Aztecs
In the late 1400s the
Spanish arrived in the Americas, seeking adventure,
riches, and converts to Catholicism. One
group of conquistadors, or
Spanish conquerors, reached Mexico in 1519.
Led by Hernán Cortés, their motives were
to find gold, claim land, and convert native peoples.
The Aztec emperor, Moctezuma
II, cautiously welcomed the strangers.
He believed Cortés to be the god Quetzalcoatl, whom the Aztecs believed had left Mexico long
ago. According to legend, the god had promised
to return in 1519.
Moctezuma gave the Spaniards gold and other gifts, but Cortés wanted more. He
took the emperor prisoner, enraging the Aztecs, who
attacked the Spanish. They managed
to drive out the conquistadors, but Moctezuma was killed
in the fighting.
Within a year, Cortés and his men came back. This time they had help from other Indians in the region who resented the
Aztecs’ harsh rule. In addition,
the Spanish had better weapons, including armor,
cannons, and swords. Furthermore, the
Aztecs were terrified of the enemy’s big
horses—animals they had never seen before. The Spanish had also unknowingly brought
deadly diseases such as smallpox to the Americas. These diseases weakened or killed
thousands of native people. In 1521
the Aztecs surrendered. Their once mighty
empire came to a swift end.
|
ความสำเร็จทางด้านวัฒนธรรม
ชาวแอซเท็กชอบทำสงครามพอ ๆ กับชื่นชอบศิลปะและความงาม
สถาปนิกและประติมากรได้สร้างสรรค์พีระมิดและรูปปั้นหินอันงดงามประณีต ช่างฝีมือใช้ทองคำ
อัญมณี และขนนกสีสดใสทำเครื่องเพชรพลอยและหน้ากาก เหล่าผู้หญิงปักลวดลายที่มีสีสันบนเสื้อผ้าที่ตนเองทอขึ้น
ชาวแอซเท็กเห็นคุณค่าของการเล่าเรียนด้วย
พวกเขาศึกษาดาราศาสตร์และประดิษฐ์คิดค้นปฏิทินขึ้นมาใหม่คล้ายกับปฏิทินของชาวมายามาก
พวกเขามีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของตนเองและเก็บบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างละเอียด
และยังมีประเพณีในการท่องปากเปล่าอย่างช่ำชอง
เรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษและเทพเจ้าจะถูกถ่ายทอดกันจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
ชาวแอซเท็กยังชื่นชอบในสุนทรพจน์และเกมทายปริศนาด้วย ดังคำพูดเหล่านี้:
“ไหสีเขียวแกมฟ้าขนาดเล็ก ๆ
ที่เต็มไปด้วยข้าวโพดคืออะไร? บางคนมั่นใจในการทายปริศนาก็บอกว่า
คือท้องฟ้า ไหล่เขาที่มีน้ำพุคืออะไร? คือ จมูกของพวกเรา”
- เบอร์นาดิโน เดอ ซาฮากัน, จาก Florentine
Codex
เมื่อรู้คำตอบของปริศนาแสดงให้เห็นว่ามีคนให้ความสนใจไปโรงเรียน
กอร์เตสพิชิตแอซเท็ก
ในปลายศตวรรษที่ 1400
ชาวสเปนได้เดินทางมาถึงทวีปอเมริกา เพื่อแสวงความตื่นเต้น
ความร่ำรวยและให้ผู้คนเปลี่ยนมานับถือคาทอลิก กองกิสตาดอร์ หรือผู้พิชิตชาวสเปนกลุ่มหนึ่งได้เดินทางมาถึงเม็กซิโกในปี
ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062) กลุ่มนี้มีผู้นำชื่อ เอร์นัน
กอร์เตส มีจุดมุ่งหมายเพื่อค้นหาทองคำ เรียกร้องสิทธิ์ในดินแดน และเปลี่ยนผู้คนในท้องถิ่นให้หันมานับถือคาทอลิก
จักรพรรดิชาวแอซเท็กนามว่า
มอกเตซูมาที่ 2 ได้ต้อนรับคนต่างถิ่นอย่างระมัดระวัง พระองค์ทรงเชื่อว่ากอร์เตสเป็นเทพเควทซาลโคท์ล
(เทพเจ้ามังกร ชาวท้องถิ่นออกเสียง เกทซาลโกวาทัล) ซึ่งชาวแอซเท็กเชื่อว่าพระองค์ได้เสด็จออกจากเม็กซิโกไปนานแล้ว
ตามตำนาน เทพเจ้าได้ให้สัญญาว่าจะกลับมาในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062)
มอกเตซูมาได้ให้ทองคำและของขวัญอื่น
ๆ แก่ชาวสเปน แต่กอร์เตสต้องการมากกว่านั้น เขาได้จับจักรพรรดิเป็นเชลย เพื่อยั่วยุชาวแอซเท็กผู้ที่โจมตีชาวสเปน
พวกเขาจัดการขับไล่พวกนักสำรวจออกไป แต่จักรพรรดิมอกเตซูมาทรงถูกฆ่าในการต่อสู้
ภายในหนึ่งปี กอร์เตสพร้อมทั้งคนของเขาก็เดินทางกลับมา
ครั้งนี้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจากชาวอินเดียนแดงคนอื่น ๆ ในภูมิภาคนั้นที่ไม่ชอบการปกครองอันรุนแรงของชาวแอซเท็ก
นอกจากนี้ชาวสเปนยังมีอาวุธที่ดีกว่า เช่น เสื้อเกราะ ปืนใหญ่และดาบ
นอกจากนี้ชาวแอซเท็กยังหวาดกลัวม้าตัวใหญ่ของศัตรูซึ่งเป็นสัตว์ที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ชาวสเปนยังได้นำโรคร้ายแรง เช่น ฝีดาษไปยังทวีปอเมริกาอีกด้วย ในปี ค.ศ. 1521
(พ.ศ. 2064) ชาวแอซเท็กก็ยอมจำนน จักรวรรดิที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งก็มาถึงจุดสิ้นสุดอันรวดเร็ว
|
Aztec Arts: Ceremonial
Jewelry
Aztec artists were
very skilled. They created detailed and brightly colored items. This double-headed
serpent was probably worn during religious
ceremonies. The man on the right is
wearing it on his chest.
|
|
ศิลปะของชาวแอซเท็ก : เครื่องเพชรพลอยประกอบพิธีกรรม
ศิลปินชาวแอซเท็กมีทักษะเป็นอย่างมาก
พวกเขาสร้างสินค้าที่มีรายละเอียดและมีสีอันสดใส งูใหญ่สองหัวนี้น่าจะใช้สวมในขณะทำพิธีกรรมทางศาสนา
ผู้ชายด้านขวามือนี้กำลังสวมสินค้าบนหน้าอกของเขา
|