Roman Civilizations/อารยธรรมโรมัน3

The Late Republic
Growth of Territory and Trade
After about 400 BC the Roman Republic grew quickly, both geographically and economically. Within 200 years the Roman army had conquered nearly all of Italy. Meanwhile Roman traders had begun to ship goods back and forth around the Mediterranean in search of new products and wealth.

Growth of Territory
Roman territory grew mainly in response to outside threats. In about 387 BC a people called the Gauls attacked Rome and took over the city. The Romans had to give the Gauls a huge amount of gold to leave the city.

สาธารณรัฐยุคต่อมา
การขยายตัวของอาณาเขตและการค้าขาย
            หลังจากประมาณ 400 ก่อนคริสตกาล สาธารณรัฐโรมันเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านภูมิศาสตร์และด้านเศรษฐกิจ ภายใน 200 ปี กองทัพโรมันได้พิชิตอิตาลีได้เกือบทั้งหมด ในขณะที่พ่อค้าชาวโรมันเพิ่มขนสินค้าทางเรือกลับไปกลับมารอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเพื่อแสวงหาผลิตภัณฑ์และความมั่งคั่งใหม่ ๆ

การขยายตัวของดินแดน
            อาณาเขตของโรมันขยายตัวส่วนใหญ่เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามจากภายนอก เมื่อประมาณ 387 ปี ก่อนคริสตกาล ผู้คนที่เรียกขานกันว่าชาวกอลได้โจมตีกรุงโรมและยึดครองเมือง ชาวโรมันต้องสละทองคำจำนวนมหึมาให้กับชาวกอลเพื่อหนีออกไปจากเมือง

สาธารณรัฐยุคต่อมา

Inspired by the Gauls victory, many of Romes neighboring cities also decided to attack. With some difficulty, the Romans fought off these attacks. As Romes attackers were defeated, the Romans took over their lands. As you can see on the map, the Romans soon controlled all of the Italian Peninsula except far northern Italy.

One reason for the Roman success was the organization of the army. Soldiers were organized in legions, or groups of up to 6,000 soldiers. Each legion was divided into centuries, or groups of 100 soldiers. This organization allowed the army to be very flexible. It could fight as a large group or as several small ones. This flexibility allowed the Romans to defeat most enemies.

Farming and Trade
Before Rome conquered Italy, most Romans were farmers. As the republic grew, many people left their farms for Rome. In place of these small farms, wealthy Romans built large farms in the countryside. These farms were worked by slaves who grew one or two crops. The owners of the farms didnt usually live on them. Instead, they stayed in Rome or other cities and let others run the farms for them.

Roman trade also expanded as the republic grew. Romes farmers couldnt grow enough food to support the citys increasing population, so merchants brought food from other parts of the Mediterranean. These merchants also brought metal goods and slaves to Rome. To pay for these goods, the Romans made coins out of copper, silver, and other metals. Roman coins began to appear in markets all around the Mediterranean.      

              เมื่อเกิดแรงบันดาลใจจากชัยชนะของกอล หลายเมืองที่อยู่ใกล้กรุงโรมก็ตัดสินใจโจมตีกรุงโรม ด้วยความยากลำบากบางอย่าง ชาวโรมันก็ได้ต่อสู้กับการโจมตีเหล่านี้ ขณะที่ผู้โจมตีกรุงโรมพ่ายแพ้ ชาวโรมันก็ได้เข้ายึดดินแดนของตน  ตามแผนที่ ในไม่ช้าชาวโรมันก็ได้ควบคุมคาบสมุทรอิตาลีทั้งหมด ยกเว้นทางตอนเหนือของอิตาลี

    เหตุผลหนึ่งที่ชาวโรมันประสบผลสำเร็จ ก็คือการจัดการกองทัพ เหล่าทหารได้รับการจัดการเป็นกองทหาร หรือเป็นกลุ่มทหารมีถึง 6,000 คน กองทหารแต่ละกองแบ่งออกเป็นกองร้อย หรือกลุ่มทหาร 100 คน การจัดการนี้ทำให้มีความยืดหยุ่น สามารถต่อสู้เป็นกลุ่มใหญ่หรือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ หลายกลุ่มได้ ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ชาวโรมันมีชัยชนะศัตรูเป็นส่วนใหญ่

การทำการเกษตรและการค้าขาย
            ก่อนที่โรมจะพิชิตอิตาลี ชาวโรมันส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ในขณะที่สาธารณรัฐเจริญรุ่งเรือง ประชาชนจำนวนมากได้ละทิ้งไร่นาของตนเองไปยังกรุงโรม ชาวโรมันผู้มั่งคั่งก็ได้สร้างไร่นาขนาดใหญ่ในชนบทขึ้นแทนที่ไร่นาเล็ก ๆ เหล่านี้ ไร่นาเหล่านี้มีทาสที่ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารหนึ่งหรือสองชนิดเข้ามาทำงาน ปกติแล้วเจ้าของที่นาไม่ได้อาศัยอยู่ในไร่นาเหล่านั้น แต่ไปอาศัยอยู่ในกรุงโรมหรือเมืองอื่น ๆ และปล่อยคนอื่นทำไร่นาให้กับตนเองแทน

         การค้าขายของชาวโรมันยังได้เจริญรุ่งเรืองในขณะที่สาธารณรัฐก็เจริญรุ่งเรือง เหล่าเกษตรของโรมไม่สามารถหาอาหารพอที่จะหล่อเลี้ยงประชากรที่เพิ่มขึ้นของเมืองได้ ดังนั้น เหล่าพ่อค้าจึงได้นำสินค้าประเภทโลหะและทาสไปยังกรุงโรม ชาวโรมันจึงได้สร้างเหรียญจากทองแดง เงิน และโลหะอื่น ๆ เพื่อจับจ่ายซื้อขายสิ้นค้าเหล่านี้ เหรียญตราของชาวโรมันเริ่มปรากฏขึ้นในตลาดรอบ ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั่วทุกหนทุกแห่ง


Rome Grows Beyond Italy
As Romes power grew other countries came to see the Romans as a threat to their own power and declared war on them. In the end the Romans defeated their opponents, and Rome gained territory throughout the Mediterranean.

The Punic Wars
The fiercest of the wars Rome fought were the Punic Wars, a series of wars against Carthage, a city in northern Africa. The word Punic meansPhoenicianin Latin. The Phoenicians were an ancient civilization that had built the city of Carthage.

Rome and Carthage went to war three times between 264 and 146 BC. The wars began when Carthage sent its armies to Sicily, an island just southwest of Italy. In response, the Romans also sent an army to the island. Before long, war broke out between them. After almost 20 years of fighting, the Romans forced their enemies out and took control of Sicily.

            In 218 BC Carthage tried to attack Rome itself. An army led by the brilliant general Hannibal set out for Rome. Although he forced the Romans right to the edge of defeat, Hannibal was never able to capture Rome itself. In the meantime, the Romans sent an army to attack Carthage. Hannibal rushed home to defend his city, but his troops were defeated at Zama in the battle illustrated below.

            By the 140s BC many senators had grown alarmed that Carthage was growing powerful again. They convinced Romes consuls to declare war on Carthage, and once again the Romans sent an army to Africa and destroyed Carthage. After this victory, the Romans burned the city, killed most of its people, and sold the rest of the people into slavery. They also took control of northern Africa.

กรุงโรมเจริญรุ่งเรืองกว่าอิตาลี
            ในขณะที่อำนาจของโรมเจริญรุ่งเรือง ประเทศอื่น ๆ ก็มองเห็นว่าชาวโรมันเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของตนเองและได้ประกาศสงครามกับชาวโรมัน ในที่สุด ชาวโรมันก็พิชิตศัตรูของพวกเขา และโรมก็ได้อาณาเขตทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

สงครามพิวนิค
            สงครามที่ต่อสู้กันดุเดือดที่สุดของกรุงโรม คือ สงครามพิวนิค เป็นการทำสงครามเป็นชุด ๆ กับคาร์เธจ ซึ่งเป็นเมืองในตอนเหนือของแอฟริกา คำว่า พิวนิค หมายความว่า “ชาวฟินิเชีย” ในภาษาละติน      ฟินิเซียเป็นอารยธรรมโบราณที่สร้างเมืองคาร์เธจ

            โรมและคาร์เธจทำสงครามกัน 3 ครั้ง ระหว่าง 264 – 146 ปีก่อนคริสตกาล สงครามเริ่มขึ้นเมื่อคาร์เธจส่งกองทัพไปยังเกาะซิซิลี ซึ่งเป็นเกาะที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิตาลี  ชาวโรมันตอบโต้ด้วยการส่งกองทัพไปยังเกาะนั้นด้วยเช่นกัน ในไม่ช้า สงครามระหว่างสองเมืองนั้นก็ระเบิดขึ้น หลังจากต่อสู้กันเป็นเวลาเกือบ 20 ปี โรมันก็ขับไล่ศัตรูออกไปและเข้าควบคุมเกาะซิซิลี

          เมื่อ 218 ก่อนคริสตกาล คาร์เธจพยายามต่อสู้กับกรุงโรมด้วยตนเอง แม่ทัพฮันนิบาลผู้เฉลียวฉลาดได้นำกองทัพออกไปต่อสู้กับโรม แม้ว่าฮันนิบาลจะบีบบังคับให้ชาวโรมันเกิดความพ่ายแพ้ เขาก็ไม่เคยยึดกรุงได้เลย ในระหว่างนี้ ชาวโรมันได้ส่งกองทัพไปโจมตีคาร์เธจ ฮันนิบาลได้เร่งรีบกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อป้องกันเมืองของตนเอง แต่กองทัพของเขาถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ที่ซามา ดังภาพวาดสงครามด้านล่าง
          ประมาณทศวรรษที่ 140 ก่อนคริสตกาล วุฒิสมาชิกหลายคนเกิดความตื่นตระหนกว่า คาร์เธจกำลังจะเรืองอำนาจขึ้นอีกครั้ง พวกเขาโน้มน้าวกงสุลของโรมให้ประกาศสงครามกับคาร์เธจ โรมันจึงได้ส่งกองทัพไปยังแอฟริกาและทำลายคาร์เธจอีกครั้ง ภายหลังชัยชนะครั้งนี้ โรมันได้เผาเมือง ฆ่าประชาชนเกือบทั้งหมด และขายประชาชนที่เหลือเป็นทาส นอกจากนี้ยังได้ยึดครองตอนเหนือแอฟริกาด้วย

โรมทำสงครามกับคาร์เธจ

โรมทำสงครามกับคาร์เธจ


Rome Battles Carthage
During the Second Punic War, Hannibal invaded Italy. But Romes leaders sent an army under their general Scipio to attack Carthage itself, forcing Hannibal to return and defend his city. The two generals met at Zama, where Scipio defeated Hannibals army in the last great battle of the Second Punic War.


โรมทำสงครามกับคาร์เธจ
            ในช่วงสงครามพิวนิคครั้งที่สอง ฮันนิบาลได้บุกอิตาลี แต่ผู้นำกรุงโรมได้ส่งกองทัพภายใต้การนำของแม่ทัพสกิปิโอไปโจมตีตัวเมืองคาร์เธจ เป็นการบังคับให้ฮันนิบาลกลับไปป้องกันเมือง แม่ทัพทั้งสองได้ประจันหน้ากันที่ซามา ณ ที่นั่นแม่ทัพสกิปิโอได้พิชิตกองทัพของฮันนิบาลจนพ่ายแพ้ในมหาสงครามพิวนิคครั้งที่สองอันเป็นครั้งสุดท้าย
Later Expansion
During the Punic Wars, Rome took control of Sicily, Corsica, Spain, and North Africa. As a result, Rome controlled most of the western Mediterranean region.

In the years that followed, Roman legions marched north and east as well. In the 120s Rome conquered the southern part of Gaul. By that time, Rome had also conquered Greece and parts of Asia.

การขยายดินแดนในยุคต่อมา
            ในระหว่างสงครามพิวนิค โรมได้ยึดครองเกาะซิซิลี เกาะคอร์ซิกา สเปน และแอฟริกาตอนเหนือ เป็นผลให้โรมยึดครองภูมิภาคทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านตะวันตกเป็นส่วนใหญ่

          ในปีต่อมา กองทหารโรมันได้ยาตราทัพขึ้นไปทางเหนือและทางตะวันออกด้วย เมื่อทศวรรษที่ 120 โรมได้พิชิตด้านทิศใต้ของกอล  ณ เวลานั้น โรมก็ได้พิชิตกรีซและดินแดนบางส่วนของเอเชียด้วย

สาธารณรัฐโรมัน

Crises Strike the Republic
As the Romansterritory grew, problems arose in the republic. Rich citizens were getting richer, and many leaders feared that violence would erupt between rich and poor.

Tiberius and Gaius Gracchus
Among the first leaders to address Romes problems were brothers named Tiberius and Gaius Gracchus. Both served as tribunes.


Tiberius, who took office in 133 BC, wanted to create farms for poor Romans. The purpose of these farms was to keep the poor citizens happy and prevent rebellions. Tiberius wanted to create his farms on public land that wealthy citizens had illegally taken over. The public supported this idea, but the wealthy citizens opposed it. Conflict over the idea led to riots in the city, during which Tiberius was killed.

            A few years later Gaius also tried to create new farms. He also began to sell food cheaply to Romes poor citizens. Like his brother, Gaius angered many powerful Romans and was killed for his ideas.

            The violent deaths of the Gracchus brothers changed Roman politics. From that time on people saw violence as a political weapon. They often attacked leaders with whom they disagreed.


Marius and Sulla
In the late 100s BC another social change nearly led to the end of the republic. In 107 BC the Roman army desperately needed more troops. In response, a consul named Gaius Marius encouraged poor people to join the army. Before, only people who owned property had been allowed to join. As a result of this change, thousands of poor and unemployed citizens joined Romes army.


            Because Marius was a good general, his troops were more loyal to him than they were to Rome. The armys support gave Marius great political power. Following his example, other ambitious politicians also sought their armiessupport.

            One such politician, Lucius Cornelius Sulla, became consul in 88 BC. Sulla soon came into conflict with Marius, a conflict that led to a civil war in Rome. A civil war is a war between citizens of the same country. In the end Sulla defeated Marius. He later named himself dictator and used his power to punish his enemies.

           
Spartacus
Not long after Sulla died, another crisis arose to challenge Romes leaders. Thousands of slaves led by a former gladiator, Spartacus, rose up and demanded freedom.

Spartacus and his followers defeated an army sent to stop them and took over much of southern Italy. Eventually, though, Spartacus was killed in battle. Without his leadership, the revolt fell apart.   
            Victorious, the Romans executed 6,000 rebellious slaves as an example to others who thought about rebelling. The rebellion was over, but the republics problems were not.

วิกฤตการณ์เข้าจู่โจมสาธารณรัฐ
            ในขณะที่อาณาเขตของโรมขยายออกไป ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในสาธารณรัฐ ประชากรผู้มีความร่ำรวยก็ร่ำรวยยิ่งขึ้น และผู้นำหลายคนกลัวว่า ความรุนแรงอาจจะปะทุขึ้นระหว่างคนรวยและคนจน

ทิเบริอุสและไกอุส  กราคคุส
            ในจำนวนผู้นำพวกแรกที่จัดการกับปัญหาของโรมก็มีพี่น้องนามว่า ทิเบริอุสและไกอุส  กราคคุส ทั้งสองทำหน้าที่เป็นทริบูนส์ (เจ้าหน้าที่ผู้ป้องกันเสรีภาพของประชาชน)

         ทิเบริอุส ผู้ที่ได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเมื่อ 133 ปีก่อนคริสตกาล ต้องการจะสร้างไร่นาให้กับชาวโรมันผู้ยากจน วัตถุประสงค์ของไร่นาเหล่านี้คือทำให้ประชากรผู้ยากไร้มีความสุขและป้องกันการก่อกบฏ ทิเบริอุสต้องการสร้างไร่นาของตนเองบนที่ดินสาธารณะที่ประชากรผู้ร่ำรวยยึดครองโดยผิดกฎหมาย สาธารณชนได้สนับสนุนแนวความคิดนี้ แต่ประชากรผู้ร่ำรวยได้คัดค้านแนวความคิดนี้ ความคัดแย้งที่มีต่อแนวความคิดนั้นนำไปสู่การก่อจลาจลในเมือง ซึ่งเป็นเหตุให้ทิเบริอุสถูกสังหารในช่วงนั้น

         สองสามปีต่อมาไกอุสก็พยายามสร้างไร่นาแห่งใหม่ขึ้นเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นเขายังได้เริ่มจำหน่ายอาหารถูกให้กับประชากรผู้ยากไร้ ไกอุสโกรธชาวโรมันผู้มีอิทธิพลจำนวนมากและถูกสังหารเนื่องจากแนวความคิดของเขา

         ความตายอันเกิดจากความรุนแรงของสองพี่น้องกราคคุสได้เปลี่ยนแปลงการเมืองของโรมัน นับตั้งแต่นั้นมา ประชาชนก็มองความรุนแรงเป็นอาวุธทางการเมือง พวกเขาได้โจมตีเหล่าผู้นำที่พวกเขาไม่เห็นด้วยอยู่เป็นประจำ

         เมื่อปลายศตวรรษที่ 100 ก่อนคริสตกาล การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกครั้งหนึ่งเกือบนำไปสู่การสิ้นสุดของสาธารณรัฐ เมื่อ 107 ปีก่อนคริสตกาล กองทัพโรมัน มีความต้องการกองทหารมากขึ้นเต็มที่ เพื่อตอบสนองความต้องการนั้น กงสุลนามว่า ไกอุส  มาริอุส ก็กระตุ้นให้ประชาชนผู้ยากไร้เข้าสมทบกับกองทัพ แต่ก่อนผู้คนที่เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเท่านั้นจึงได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม ด้วยสาเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คนยากไร้หลายพันคนและประชากรผู้ว่างงานก็เข้าร่วมกองทัพของโรม

         เนื่องจากมาริอุสเป็นแม่ทัพผู้มีน้ำใจ กองทหารของเขาจึงจงรักภักดีต่อเขามากกว่ากรุงโรม การสนับสนุนของกองทัพทำให้มาริอุสมีอำนาจทางการเมืองอันยิ่งใหญ่ นักการเมืองผู้ทะเยอทะยานคนอื่น ๆ ยังได้แสวงหาความสนับสนุนจากกองทัพของตนเอง ด้วยการดำเนินรอยตามอย่างมาริอุส

         นักการเมืองแบบนั้นอีกคนหนึ่ง คือ ลูซิอุส  คอร์เนลิอุส ซูลลา กลายเป็นกงสุลเมื่อ 88 ปีก่อนคริสตกาล ในไม่ช้า ซูลลาก็เกิดความขัดแย้งกับมาริอุสเป็นความขัดแย้งที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองในกรุงโรม สงครามกลางเมืองคือสงครามระหว่างประชาชนของประเทศเดียวกัน ในที่สุด ซูลลาก็ชนะมาริอุสต่อมาเขาตั้งฉายานามตัวเองเป็นนักเผด็จการและใช้อำนาจลงโทษกองทัพของตนเอง

สปาร์ตากุส
            อีกไม่นานภายหลังจากซูลลาเสียชีวิต วิกฤตการณ์อีกครั้งหนึ่งก็อุบัติขึ้นท้าทายผู้นำของโรม ทาสหลายพันคนนำโดยนักต่อสู้ยุคแรก คือ สปาร์ตากุส ลุกฮือขึ้นต่อต้านและเรียกร้องอิสรภาพ

สปาร์ตากุสและสานุศิษย์ของเขาพิชิตกองทัพที่ส่งไปยับยั้งพวกเขาและยึดอิตาลีตอนใต้ได้เป็นจำนวนมาก ถึงกระนั้น ในที่สุด สปาร์ตากุสก็ถูกสังหารในสงคราม เมื่อปราศจากภาวะผู้นำของเขา การปฏิวัติก็ล้มเหลว
            ชาวโรมันที่ได้รับชัยชนะก็ประหารเหล่าทาสที่เป็นกบฏ 6,000 คน เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น ๆ ที่คิดจะก่อการกบฏ การกบฏได้สิ้นสุดลง แต่ปัญหาของสาธารณรัฐก็ไม่สิ้นสุด

ฮันนิบาล


  
ลูซิอุส  คอร์เนลิอุส ซูลลา


BIOGRAPHY
Hannibal (247183 BC)
Many historians consider Hannibal to be one of the greatest generals of the ancient world. From an early age, he hated Rome. In 218 BC he began the Second Punic War by attacking one of Romes allies in Spain. After the war he became the leader of Carthage, but later he was forced by the Romans to flee the city. He went to Asia and joined with a king fighting the Romans there. The king was defeated, and Hannibal killed himself so that he wouldnt become a Roman prisoner.
อัตชีวประวัติ
ฮันนิบาล (247 – 183 ปีก่อนคริสตกาล)
            นักประวัติศาสตร์จำนวนมากถือว่าฮันนิบาลเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลกโบราณ เขาเกลียดโรมมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่อ 218 ปีก่อนคริสตกาล เขาเริ่มก่อสงครามพิวนิคครั้งที่สอง ด้วยการโจมตีสัมพันธมิตรของโรมในสเปน หลังสิ้นสุดสงครามเขาเป็นผู้นำคาร์เธจ แต่ต่อมาเขาถูกชาวโรมันบังคับให้หนีออกจากเมือง จึงได้เดินทางไปยังเอเชียและสมทบกับกษัตริย์ต่อสู้กับชาวโรมัน ณ ที่นั่น กษัตริย์ได้รับความพ่ายแพ้ และฮันนิบาลก็ฆ่าตัวตายเพื่อตัวเองจะได้ไม่ตกเป็นเฉลยของโรมัน

Lucius Cornelius Sulla (138–78 BC)
Although the two eventually became enemies, Sulla learned much of what he knew about military affairs from Gaius Marius. He had been an assistant to Marius before he became consul. Sulla changed Rome’s government forever when he became dictator, but he actually had many traditional ideas. For example, he believed the Senate should be the main ruling group in Rome, and he increased its power during his rule.
ลูซิอุส  คอร์เนลิอุส ซูลลา (138 – 78 ปีก่อนคริสตกาล)
            แม้ว่าในที่สุดทั้งคู่จะกลายเป็นศัตรูกัน ซูลลาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกิจการทางด้านทหารจากไกอุส  มาริอุสมากมาย เขาเป็นผู้ช่วยมาริอุสก่อนที่จะเป็นกงสุล ซูลลาได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของโรมชั่วกาลนานในขณะที่เขาเป็นนักปกครองเผด็จการ แต่โดยแท้จริงเขามีแนวความคิดแบบดั้งเดิมมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เขาเชื่อว่าวุฒิสภาควรจะเป็นกลุ่มนักปกครองกลุ่มหลักในกรุงโรม และเขาได้เพิ่มอำนาจของวุฒิสภาในช่วงที่เขาปกครอง