Colonialism
During the 1800s,
Europeans colonized areas in Africa, introducing
Christianity, and taking economic control.
They used African workers to grow or mine
precious raw materials, but sent the materials to be
manufactured in Europe and America - where
profits stayed. During this period,
slavery was at its height as Europeans kidnapped
Africans to work in the Americas.
|
ลัทธิล่าอาณานิคม
ในช่วงศตวรรษที่
1800 ชาวยุโรปล่าอาณานิคมในทวีปแอฟริกา นำศาสนาคริสต์ไปเผยแพร่
และควบคุมด้านเศรษฐกิจ พวกเขาใช้แรงงานชาวแอฟริกาพัฒนาหรือขุดวัตถุดิบเหมืองแร่อันล้ำค่า
แต่วัตถุเหล่านั้นไปผลิตด้วยเครื่องจักรในยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีผลกำไร ณ
ที่นั่น ในระยะเวลานี้
ระบบทาสพุ่งสูงขึ้นในขณะที่ชาวยุโรปลักพาตัวชาวแอฟริกาไปทำงานในอเมริกา
|
||
African Diaspora
The slave trade
scattered more than 20 million Africans throughout the
Americas and Europe, undermining African culture in the process. Over the centuries, the
dispersed descendants of these slaves became known as the African Diaspora.
|
การพลัดถิ่นแอฟริกา
การค้าทาสได้กระจัดกระจายชาวแอฟริกาไปทั่วอเมริกาและยุโรปมากกว่า
20 ล้านคน ซึ่งเป็นภัยต่อวัฒนธรรมแอฟริกันในกระบวนการดังกล่าว
ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ลูกหลานที่กระจายของทาสเหล่านี้กลายเป็นที่รู้จักกันว่า
การพลัดถิ่นแอฟริกา
|
Christianity
Europe sent
missionaries to Africa to set up schools
and churches, and to convert Africans to
Christianity. They also tried to
abolish African traditional religions, often
punishing those who still practised them.
|
ศาสนาคริสต์
ยุโรปได้ส่งคณะผู้เผยแพร่ศาสนาไปยังทวีปแอฟริกาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนและโบสถ์
และเปลี่ยนชาวแอฟริกาให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ คณะหมอสอนศาสนาเหล่านั้นยังได้ยกเลิกศาสนาดั้งเดิมของชาวแอฟริกา
มีการลงโทษผู้ที่ยังนับถือศาสนาเก่า ๆ เหล่านั้นบ่อยครั้ง
|
World Wars I and II
Although both world
wars were European, thousands of Africans lost their
lives as colonial rulers forced them to join the army. One cause of World War I was German
resentment against other European countries during colonization. In World War II, North
Africa became a battleground, as German and Italian forces invaded British- and French-ruled territories.
|
สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
แม้ว่าสงครามโลกทั้งสองครั้งจะอยู่ในยุโรป
ชาวแอฟริกาหลายพันคนก็สูญเสียชีวิตในฐานะเป็นเมืองขึ้น
ผู้ปกครองได้บังคับให้ชาวแอฟริกาเข้าร่วมกับกองทัพ เหตุเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
คือเยอรมนีไม่พอใจประเทศอื่น ๆ ในยุโรปในระหว่างล่าเมืองขึ้น ในสงครามโลกครั้งที่
2 แอฟริกาเหนือกลายเป็นสมรภูมิ
เนื่องจากกองทัพเยอรมนีกับอิตาลีรุกรานดินแดนที่อังกฤษกับฝรั่งเศสครอบครอง
|
Troops at El Alamein, Egypt
กองทหารที่ยุทธการเอล อาลาเมน,ประเทศอียิปต์ |
||||
World War I
When World War I
broke out in 1914, the Ottoman Empire controlled North
Africa. The Egyptians colluded with the British
to overthrow Turkish rule, and they were helped from 1916
to 1918 by the eccentric soldier and author Thomas Edward
Lawrence (1888-1935),
who became famous as Lawrence of Arabia. After
the war, Egypt became a British protectorate but signed
a treaty for independence in 1922.
|
สงครามโลกครั้งที่ 1
เมื่อสงครามโลกครั้งที่
1 ระเบิดขึ้นในปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) จักรวรรดิออตโตมันยึดครองแอฟริกาเหนือ
ชาวอียิปต์สมรู้ร่วมคิดกับชาวอังกฤษเพื่อโค่นล้มการปกครองของตุรกี และได้รับความช่วยเหลือจากทหารและนักเขียนผู้แปลกประหลาด
นามว่า โธมัส เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (มีชีวิตระหว่าง
ค.ศ. 1888 – 1935 = พ.ศ. 2431 – 2478 อายุ 47 ปี) ตั้งแต่ ค.ศ. 1916 ถึง 1918 (พ.ศ.
2459 – 2461) ซึ่งต่อมาเขาก็มีชื่อเสียงในนาม ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย หลังจากสิ้นสุดสงคราม
อียิปต์กลายเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษแต่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเพื่ออิสรภาพในปี
ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465)
|
El Alamein
In 1941, Italian and
German forces invaded North African territories held by
the British. The British recruited soldiers from their
colonies of Nigeria, Ghana, and Sierra Leone to join the
fight on their behalf. In 1942, the British defeated the
Germans at the historic battle of El Alamein. This battle was a turning point in the war.
|
ยุทธการเอล อาลาเมน
ในปี
ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484)
กองทัพอิตาลีและเยอรมันได้บุกรุกดินแดนแอฟริกาเหนือที่อังกฤษยึดครอง อังกฤษเกณฑ์ทหารใหม่จากอาณานิคมของตนเอง
คือ ไนจีเรีย กานา และเซียร์ราลีโอนไปร่วมต่อสู้ในนามของตนเอง ในปี ค.ศ. 1942
(พ.ศ. 2485) อังกฤษพิชิตเยอรมันที่ยุทธการประวัติศาสตร์เอล อาลาเมน ยุทธการนี้คือจุดหักเหในสงคราม
|
African resistance
Africans strenuously
resisted colonialism. The
Ethiopians fought to stay independent and
won (1896); Zimbabwe and
Sudan rebelled against the British (1896
and 1920); tribes in Angola tried
to overthrow the Portuguese (1902); in Namibia and Tanzania, thousands
were killed in uprisings against the Germans
(1904-1908);
and in Nigeria, tribes revolted against French
rule (1920s).
|
ชาวแอฟริกาลุกขึ้นต่อต้าน
ชาวแอฟริกาได้ต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมอย่างเข้มแข็ง
ชาวเอธิโอเปียได้ต่อสู้เพื่อเอกราชและได้รับชัยชนะ (ค.ศ. 1896 = พ.ศ. 2439)
ซิมบับเวและซูดานได้ก่อกบฏต่ออังกฤษ (ค.ศ. 1896 และ 1920 = พ.ศ. 2439 และ 2463) ชนเผ่าในแองโกลาพยายามโค่นล้มชาวโปรตุเกส
(ค.ศ. 1902 = พ.ศ. 2445) ในนามิเบียและแทนซาเนีย มีคนถูกฆ่าหลายพันคนในการก่อการกบฏต่อเยอรมัน
(ค.ศ. 1904 – 1908 = พ.ศ. 2447 – 2451) และในไนจีเรีย
ชนเผ่าก็ก่อการปฏิวัติต่อการปกครองของฝรั่งเศส (ทศวรรษที่ 1920)
|
|
|
|||||
Operation Torch
In 1942, American and
British soldiers landed in Morocco and Algeria in an
invasion called Operation Torch. Joined
by the French, the Allies attacked the German and
Italian armies, forcing them into Tunisia.
After a bloody battle, Germany's Afrika Korps
surrendered. The war on African
soil was over by May 1943.
|
ปฏิบัติการคบเพลิง
ในปี
ค.ศ. 1942 (พ.ศ. 2485) ทหารอเมริกาและอังกฤษขึ้นฝั่งที่โมร็อกโกและแอลจีเรียในการบุกรุกที่เรียกว่า
คบปฏิบัติการเพลิง พันธมิตรร่วมกับฝรั่งเศส ได้โจมตีกองทัพเยอรมันและอิตาลี
บังคับให้กองทัพทั้งสองเข้าไปยังตูนิเซีย ภายหลังสงครามนองเลือด กองทัพน้อยแอฟริกา
(Afrika
Korps) ของเยอรมันก็ยอมแพ้
สงครามบนแผ่นดินแอฟริกาก็ยุติเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2486)
|
Haile Selassie
Emperor Haile
Selassie of Ethiopia (r. 1930-74) led his troops against the Italian invasion of
1935. The Italians forced the
emperor into exile in 1936, but he returned
in 1941. Haile Selassie instituted
reforms, suppressed slavery, and worked
with the Organization of African Unity. In 1974, the army overthrew the emperor, installing military rule. He died in exile in 1975
aged 84.
|
|
สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี
เซลาสซี (ที่ 1)
สมเด็จจักรพรรดิเฮลี เซลาสซีแห่งเอธิโอเปีย (ครองราชย์ ค.ศ. 1930 –
74 = พ.ศ. 2473 – 2517) ได้นำกองทัพของตนเองต่อสู้กับการรุกรานของอิตาลีในปี
ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) ชาวอิตาลีได้ใช้อำนาจบังคับขับไล่จักรพรรดิออกไปในปี ค.ศ.
1936 (พ.ศ. 2479) แต่พระองค์ทรงย้อนกลับมาในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484)
จักรพรรดิเฮลี เซลาสซีได้ริเริ่มการปฏิรูป ยกเลิกระบบทาส และทำงานร่วมกับองค์การเอกภาพแอฟริกา
ในปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) กองทัพก็โค่นล้มจักรพรรดิ ก่อตั้งการปกครองทหารแทน
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ขณะทรงถูกเนรเทศในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) มีพระชนมายุ 84
พรรษา
|
|