HISTORY OF AFRICA/ประวัติศาสตร์แอฟริกา2

 
ประวัติศาสตร์แอฟริกา
African carving of a European
รูปแกะสลักชาวยุโรปของแอฟริกา

Colonialism
During the 1800s, Europeans colonized areas in Africa, introducing Christianity, and taking economic control. They used African workers to grow or mine precious raw materials, but sent the materials to be manufactured in Europe and America - where profits stayed. During this period, slavery was at its height as Europeans kidnapped Africans to work in the Americas.


ลัทธิล่าอาณานิคม
            ในช่วงศตวรรษที่ 1800 ชาวยุโรปล่าอาณานิคมในทวีปแอฟริกา นำศาสนาคริสต์ไปเผยแพร่ และควบคุมด้านเศรษฐกิจ พวกเขาใช้แรงงานชาวแอฟริกาพัฒนาหรือขุดวัตถุดิบเหมืองแร่อันล้ำค่า แต่วัตถุเหล่านั้นไปผลิตด้วยเครื่องจักรในยุโรปและอเมริกา ซึ่งมีผลกำไร ณ ที่นั่น ในระยะเวลานี้ ระบบทาสพุ่งสูงขึ้นในขณะที่ชาวยุโรปลักพาตัวชาวแอฟริกาไปทำงานในอเมริกา

African Diaspora
The slave trade scattered more than 20 million Africans throughout the Americas and Europe, undermining African culture in the process. Over the centuries, the dispersed descendants of these slaves became known as the African Diaspora.

การพลัดถิ่นแอฟริกา
การค้าทาสได้กระจัดกระจายชาวแอฟริกาไปทั่วอเมริกาและยุโรปมากกว่า 20 ล้านคน ซึ่งเป็นภัยต่อวัฒนธรรมแอฟริกันในกระบวนการดังกล่าว ในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา ลูกหลานที่กระจายของทาสเหล่านี้กลายเป็นที่รู้จักกันว่า การพลัดถิ่นแอฟริกา


Christianity
Europe sent missionaries to Africa to set up schools and churches, and to convert Africans to Christianity. They also tried to abolish African traditional religions, often punishing those who still practised them.


ศาสนาคริสต์
            ยุโรปได้ส่งคณะผู้เผยแพร่ศาสนาไปยังทวีปแอฟริกาเพื่อจัดตั้งโรงเรียนและโบสถ์ และเปลี่ยนชาวแอฟริกาให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ คณะหมอสอนศาสนาเหล่านั้นยังได้ยกเลิกศาสนาดั้งเดิมของชาวแอฟริกา มีการลงโทษผู้ที่ยังนับถือศาสนาเก่า ๆ เหล่านั้นบ่อยครั้ง

ประวัติศาสตร์แอฟริกา














ประวัติศาสตร์แอฟริกา
Voodoo voice disguiser/อุปกรณ์ลอกเลียนเสียงของชาววูดู

ประวัติศาสตร์แอฟริกา
Carving of         Queen Victoria/รูปแกะสลักพระนางวิกตอเรีย


Scramble for Africa
In 1884, European leaders decided that their countries could claim African territories as colonies when occupied by Europeans. This started a scramble to the interior in search of new lands. By 1902, all of Africa was colonized, except Liberia and Ethiopia.






การช่วงชิงแอฟริกา
            ในปี ค.ศ. 1884 (พ.ศ. 2427) เหล่าผู้นำชาวยุโรปตัดสินใจว่าประเทศของตนเองควรจะอ้างกรรมสิทธิ์ดินแดนแอฟริกาเป็นเมืองขึ้นเมื่อชาวยุโรปยึดครอง เริ่มต้นด้วยการรุมช่วงชิงตอนกลางเพื่อหาดินแดนใหม่ ประมาณ ค.ศ. 1902 (พ.ศ. 2445) ทวีปแอฟริกาทั้งหมดก็ถูกล่าเป็นอาณานิคม ยกเว้นไลบีเรียและเอธิโอเปีย
Voodoo
In 19th-century Caribbean colonies, traditional ancestor worship combined with Christianity to produce a religion called voodoo.

วูดู
            ในหลายอาณานิคมแถบแคริบเบียนในศตวรรษที่ 19 ลัทธิการนับถือบรรพบุรุษแบบดั้งเดิมผสมผสานกันกับศาสนาคริสต์เกิดเป็นศาสนาอีกศาสนาหนึ่งเรียกว่า วูดู


ประวัติศาสตร์แอฟริกา
World Wars I and II
Although both world wars were European, thousands of Africans lost their lives as colonial rulers forced them to join the army. One cause of World War I was German resentment against other European countries during colonization. In World War II, North Africa became a battleground, as German and Italian forces invaded British- and French-ruled territories.


สงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2
            แม้ว่าสงครามโลกทั้งสองครั้งจะอยู่ในยุโรป ชาวแอฟริกาหลายพันคนก็สูญเสียชีวิตในฐานะเป็นเมืองขึ้น ผู้ปกครองได้บังคับให้ชาวแอฟริกาเข้าร่วมกับกองทัพ เหตุเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 คือเยอรมนีไม่พอใจประเทศอื่น ๆ ในยุโรปในระหว่างล่าเมืองขึ้น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แอฟริกาเหนือกลายเป็นสมรภูมิ เนื่องจากกองทัพเยอรมนีกับอิตาลีรุกรานดินแดนที่อังกฤษกับฝรั่งเศสครอบครอง
 
ประวัติศาสตร์แอฟริกา
Troops at El Alamein, Egypt
กองทหารที่ยุทธการเอล อาลาเมน,ประเทศอียิปต์
World War I
When World War I broke out in 1914, the Ottoman Empire controlled North Africa. The Egyptians colluded with the British to overthrow Turkish rule, and they were helped from 1916 to 1918 by the eccentric soldier and author Thomas Edward Lawrence (1888-1935), who became famous as Lawrence of Arabia. After the war, Egypt became a British protectorate but signed a treaty for independence in 1922.


สงครามโลกครั้งที่ 1
            เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในปี ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) จักรวรรดิออตโตมันยึดครองแอฟริกาเหนือ ชาวอียิปต์สมรู้ร่วมคิดกับชาวอังกฤษเพื่อโค่นล้มการปกครองของตุรกี และได้รับความช่วยเหลือจากทหารและนักเขียนผู้แปลกประหลาด นามว่า โธมัส เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์ (มีชีวิตระหว่าง ค.ศ. 1888 – 1935 = พ.ศ. 2431 – 2478 อายุ 47 ปี) ตั้งแต่ ค.ศ. 1916 ถึง 1918 (พ.ศ. 2459 – 2461) ซึ่งต่อมาเขาก็มีชื่อเสียงในนาม ลอเรนซ์แห่งอาราเบีย  หลังจากสิ้นสุดสงคราม อียิปต์กลายเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษแต่ได้ลงนามในสนธิสัญญาเพื่ออิสรภาพในปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465)
El Alamein
In 1941, Italian and German forces invaded North African territories held by the British. The British recruited soldiers from their colonies of Nigeria, Ghana, and Sierra Leone to join the fight on their behalf. In 1942, the British defeated the Germans at the historic battle of El Alamein. This battle was a turning point in the war.



ยุทธการเอล อาลาเมน
                ในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) กองทัพอิตาลีและเยอรมันได้บุกรุกดินแดนแอฟริกาเหนือที่อังกฤษยึดครอง อังกฤษเกณฑ์ทหารใหม่จากอาณานิคมของตนเอง คือ ไนจีเรีย กานา และเซียร์ราลีโอนไปร่วมต่อสู้ในนามของตนเอง ในปี ค.ศ. 1942 (พ.ศ. 2485) อังกฤษพิชิตเยอรมันที่ยุทธการประวัติศาสตร์เอล อาลาเมน  ยุทธการนี้คือจุดหักเหในสงคราม





African resistance
Africans strenuously resisted colonialism. The Ethiopians fought to stay independent and won (1896); Zimbabwe and Sudan rebelled against the British (1896 and 1920); tribes in Angola tried to overthrow the Portuguese (1902); in Namibia and Tanzania, thousands were killed in uprisings against the Germans (1904-1908); and in Nigeria, tribes revolted against French rule (1920s).







ชาวแอฟริกาลุกขึ้นต่อต้าน
            ชาวแอฟริกาได้ต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมอย่างเข้มแข็ง ชาวเอธิโอเปียได้ต่อสู้เพื่อเอกราชและได้รับชัยชนะ (ค.ศ. 1896 = พ.ศ. 2439) ซิมบับเวและซูดานได้ก่อกบฏต่ออังกฤษ (ค.ศ. 1896 และ 1920 = พ.ศ. 2439 และ 2463) ชนเผ่าในแองโกลาพยายามโค่นล้มชาวโปรตุเกส (ค.ศ. 1902 = พ.ศ. 2445) ในนามิเบียและแทนซาเนีย มีคนถูกฆ่าหลายพันคนในการก่อการกบฏต่อเยอรมัน (ค.ศ. 1904 – 1908 = พ.ศ. 2447 – 2451) และในไนจีเรีย ชนเผ่าก็ก่อการปฏิวัติต่อการปกครองของฝรั่งเศส (ทศวรรษที่ 1920)

ประวัติศาสตร์แอฟริกา
Herero and Nama tribes fight German
colonialists, Namibia, 1904
ชนเผ่าเฮเรโรและนามาต่อสู้กับพวกล่าอาณานิคมเยอรมันในนามิเบีย ค.ศ. 1904





ประวัติศาสตร์แอฟริกา
TE Lawrence/โทมัส เอ็ดเวิร์ด ลอเรนซ์


ประวัติศาสตร์แอฟริกา
African Front/แนวหน้าแอฟริกา
Operation Torch
In 1942, American and British soldiers landed in Morocco and Algeria in an invasion called Operation Torch. Joined by the French, the Allies attacked the German and Italian armies, forcing them into Tunisia. After a bloody battle, Germany's Afrika Korps surrendered. The war on African soil was over by May 1943.



ปฏิบัติการคบเพลิง
            ในปี ค.ศ. 1942 (พ.ศ. 2485) ทหารอเมริกาและอังกฤษขึ้นฝั่งที่โมร็อกโกและแอลจีเรียในการบุกรุกที่เรียกว่า คบปฏิบัติการเพลิง พันธมิตรร่วมกับฝรั่งเศส ได้โจมตีกองทัพเยอรมันและอิตาลี บังคับให้กองทัพทั้งสองเข้าไปยังตูนิเซีย ภายหลังสงครามนองเลือด กองทัพน้อยแอฟริกา (Afrika Korps) ของเยอรมันก็ยอมแพ้ สงครามบนแผ่นดินแอฟริกาก็ยุติเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 (พ.ศ. 2486)



Haile Selassie
Emperor Haile Selassie of Ethiopia (r. 1930-74) led his troops against the Italian invasion of 1935. The Italians forced the emperor into exile in 1936, but he returned in 1941. Haile Selassie instituted reforms, suppressed slavery, and worked with the Organization of African Unity. In 1974, the army overthrew the emperor, installing military rule. He died in exile in 1975 aged 84.




สมเด็จพระจักรพรรดิเฮลี  เซลาสซี (ที่ 1)
            สมเด็จจักรพรรดิเฮลี  เซลาสซีแห่งเอธิโอเปีย (ครองราชย์ ค.ศ. 1930 – 74 = พ.ศ. 2473 – 2517) ได้นำกองทัพของตนเองต่อสู้กับการรุกรานของอิตาลีในปี ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) ชาวอิตาลีได้ใช้อำนาจบังคับขับไล่จักรพรรดิออกไปในปี ค.ศ. 1936 (พ.ศ. 2479) แต่พระองค์ทรงย้อนกลับมาในปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) จักรพรรดิเฮลี เซลาสซีได้ริเริ่มการปฏิรูป ยกเลิกระบบทาส และทำงานร่วมกับองค์การเอกภาพแอฟริกา ในปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2517) กองทัพก็โค่นล้มจักรพรรดิ ก่อตั้งการปกครองทหารแทน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ขณะทรงถูกเนรเทศในปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) มีพระชนมายุ 84 พรรษา

ประวัติศาสตร์แอฟริกา